วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทที่8

Decision Support System
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ


  • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างตัวแบบการตัดสินใจที่ซับซ้อน เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาที่มีลักษณะกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างได้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานขององค์กร
  • การทำงานของ DSS เป็นเป็นการประสานการทำงานระหว่างบุคลากรกับเทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ โดยเป็นการกระทำโต้ตอบกัน
  • ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ ประกอบด้วยชุดเครื่องมือ ข้อมูล ตัวแบบ และทรัพยากรอื่นๆ
  • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เริ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1970 เพื่อที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ

ความสามารถของ DSS

  1. สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร
  2. สนับสนุนการสร้างฐานความรู้
  3. สนับสนุนการใช้งานของผู้บริหารแบบต่อประสานกับผู้ใช้

ประเภทของตัวแบบ

แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
  1. ตัวแบบกายภาพ (Physical Models)
  2. ตัวแบบกราฟิก (Graphical Models)
  3. ตัวแบบพรรณา (Descriptive or Narrative Models)
  4. ตัวแบบคณิตศาสตร์ (Mathematical Models)

ส่วนประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
  1. ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management System)
  2. ระบบการจัดการตัวแบบ (Model Management System)
  3. ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System)
  4. ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User Management System)

ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management System)

  • ระบบการจัดการข้อมูล เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์การที่มีความสัมพันธ์กับองค์การไว้ในฐานข้อมูล
  • ฐานข้อมูล Database เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน จากแหล่งข้อมูลภายในองค์การ ภายนอกองค์การ และข้อมูลความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  • ระบบจัดการฐานข้อมูล 
  • พจนานุกรมข้อมูล
  • สิ่งอำนวยความสะดวกในการสอบถามข้อมูล

ระบบการจัดการตัวแบบ (Model management system)

  • ระบบการจัดการตัวแบบ เป็นชุดของซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่รวมตัวแบบต่างๆ ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และมีซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่จัดการแบบจำลองในงานต่างๆ เรียกว่าระบบจัดการฐานตัวแบบ
  • ฐานตัวแบบ เป็นแหล่งที่เก็บตัวแบบต่างๆ 
  • ระบบจัดการฐานตัวแบบ มีหน้าีท่ในการสร้างแบบจำลองเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาการทำงาน
  • พจจนานุกรมตัวแบบ เป็นรายละเอียดตัวแบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมดในฐานตัวแบบ
  • การประมวลผลตัวแบบ

ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System)

  • ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System) เป็นระบบย่อยที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนระบบย่อยอื่นๆ ให้ทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ
  • ความรู้ประกอบด้วย ความจริง หลักเกณฑ์ ทฤษฎี ความชำนาญ ความสามารถเฉพาะตัว ดุลพินิจ สามัญสำนึก วิจารณญาณ และการใช้ความรู้สึกส่วนตัว

ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User Management System)

  • ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ เป็นการจัดการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
  • ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ เป็นฮาร์ดแวรืและซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารและโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์
  • การสร้างส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่มีประสิทธิผล ต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ เช่น การเลือกอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผล การออกแบบหน้าจอ ลำดับของการโต้ตอบระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร การใช้สีและเงา เป็นต้น

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

หมายถึง ความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเป็นหลัก แต้ยังรวมถึงศาสตร์ในด้านอื่นๆ อย่างจิตวิทยา ปรัชญา ชีววิทยา และการจัดการ มาผสมผสานเข้ากับศาสตร์ทางด้านคอมพิวเตอร์
AI แบ่งได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
  • ระบบที่คิดเหมือนมนุษย์
  • ระบบที่กระทำเหมือนมนุษย์
  • ระบบที่คิดอย่างมีเหตุผล
  • ระบบที่กระทำอย่างมีเหตุผล

ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน (Group Decision Support System : GDSS)

ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน หรือ GDSS ประกอบด้วยส่วนประกอบที่เหมือนกับระบบสนับสนุนการตัดสินใจทั่วไป ต่างกันที่มีการเพิ่มซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการในระดับกลุ่มงาน เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน ให้มีประสิทธิผลมากขึ้น คือจะอนุญาติให้ผู้ใช้หลายๆคน เข้าใช้งานแฟ้มข้อมูล ฐานข้อมูล และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในขณะเดียวกันได้ และอนุญาติให้สมาชิกกลุ่มสามารถทำงานเดียวกันได้ และอยู่ในที่ต่างๆได้



ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงานสามารถสนับสนุนวิธีการตัดสินใจแบบต่างๆ ได้แก่

  1. วิธีเดลฟี (Delphi Approach)
  2. การระดมสมอง (Brainstorming)
  3. วิธีการลงมติเอกฉันท์ของกลุ่ม (Group Consensus Approach)
  4. วิธีความเชื่อของกลุ่ม (Nominal Group Technique)

ระบบสนับสนุนสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System : EIS)

เป็นระบบสารสนเทศที่ผู้บริหารระดับสูงนำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการบริหาร การตัดสินใจ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงคื และเป้าหมาย ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์ นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยประโยชน์ในด้านการติดต่อสื่อสาร และมีสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้บริหารในองคืการ และมีการตัดสินใจเป็นทีม และไปในแนวทางเดียวกันทั้งระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน ระหว่างบุคลากรในองค์การ หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์การ

คุณลักษณะของ EIS

  1. สนับสนุนการตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งภายในและภายนอก
  2. ให้สารสนเทศที่ถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์
  3. ผู้บริหารระสูงสามารถติดตามหรือประเมินผลการดำเนินงานการใช้ทรัพยากร
  4. สามารถคาดคะเนปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
  5. ผู้บริหารระดับสูงสามารถมองเห็นภาพความเป็นไปในธุรกิจได้อย่างชัดเจน
  6. เกิดความสะดวกและประหยัดเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสาร
  7. ให้ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเดียวกัน
  8. ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงเล็งเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากคู่แข่งขัน
  9. เพิ่มศักยภาพในการบริหารงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน












แหล่งอ้างอิง
https://acc5606103108.wordpress.com
https://th.wikipedia.org/wiki/ปัญญาประดิษฐ์
https://acc5606103108.wordpress.com/

บทที่7

Enterprise Applications

ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์



ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (Enterprise Applications)

แบ่งออกเป็น
  1. ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce : E-Commerce, EC)
  2. ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ (Enterprise Resource Planning System : ERP)
  3. ระบบการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management System : CRM)
  4. ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System : SCM)

ระบบวางแผนทรัพยากรขององค์กร หรือ อีอาร์พี

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning หมายถึงการวางแผนควบคุมการปฏิบัติงานและจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในองค์การโดยรวม สามารถบูรณาการข้อมูล และกระบวนการทำงานหลักภายในองค์กรทั้งหมด
โครงสร้างของ ERP แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
  1. Material Resource Planning : MRP หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการจัดทำแผนความต้องการวัสดุ โดยมีองค์ประกอบของข้อมูลนำเข้าที่สำคัญ 3 รายการ คือ ตารางการผลิตหลัก แฟ้มข้อมูลบัญชีรายการวัสดุ และแฟ้มข้อมูลสถานะคงคลัง
  2. Finance Resource Management : FRM หมายถึง ระบบสารสนเทศที่เน้นให้บริการเกี่ยวกับการเงินและบัญชี โดยอิงตามกฎระเบียบและข้อบังคับตามที่ประเทศนั้นกำหนด
  3. Human Resource Management : HRM หมายถึงระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานทางบุคคล
  4. Customer Resource Management : CRM หมายถึงระบบสารสนเทศเพื่อบริหารความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและลูกค้า
  5. Supply Chain Management : SCM หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการกระบวนการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูลและธุรกรรมต่างๆ

ลักษณะสำคัญของระบบ ERP

  1. การบูรณาการระบบงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่การจัดซื้อ จัดจ้าง การผลิต การขาย บัญชี การเงิน และการบริหารบุคคล ซึ่งแต่ละส่วนงานจะมีความเชื่อมโยงในด้านการไหลของวัตถุดิบสินค้าและการไหลของข้อมูล
  2. รวมระบบงานต่างๆ แบบ Real Time ทำให้ข้อมูลเกิดขึ้นในเวลาจริงอย่างทันที ช่วยให้สามารถทำการปิดบัญชีได้ทุกวัน เป็นรายวัน คำนวณ ต้นทุนและกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นรายวัน
  3. ระบบ ERP มีฐานข้อมูลรวม โดยฐานข้อมูลรวมนี้สามารถถูกเรียกใช้ได้จากระบบอื่นได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องทำ Batch Processing หรือ File Transfer และทำให้ข้อมูลนั้นมีอยู่ที่เดียวได้ ทำให้ข้อมูลของระบบไม่ซ้ำซ้อน ไม่มีความผิดพลาดและขัดแย้งของข้อมูล และเกิดประสิทธิภาพ

คุณสมบัติของ ERP ที่ดี

  1. มีความยืดหยุ่น (Flexible)
  2. โมดูลเป็นอิสระจากกัน (Modular)
  3. ความครอบคลุม (Comprehensive)
  4. การเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่นนอกเหนือจากองค์กร (Beyond the Company)
  5. มีกระบวนการทำงานที่ดี (Belong to the Best Business Practices)

ประโยชน์ของ ERP


  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและการปฏิบัติงานให้กับกระบวนการทำงานของธุรกิจ
  2. สร้างระบบงานและกระบวนการทำงานให้ถูกต้อง
  3. ลดความซ้ำซ้อนของการเก็บข้อมูล
  4. มีศูนย์รวมระบบข้อมูลสารสนเทศที่ช่วยการตัดสินใจ
  5. เป็นกระบวนการทำงานที่ดีที่สุดมาใช้ในองค์กร
  6. มัความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน หรือขยายระบบงาน
  7. มีระบบการควบคุมภายใน และการรักษาความปลอดภัยที่ดี
  8. ทำให้เกิดรายงานและการวิเคราะห์ที่สามารถใช้สำหรับการวางแผน
  9. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานระยะยาว

ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ ซีอาร์เอ็ม

CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management การบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ คือ การจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับลูกค้าในปัจจุบัน และลูกค้าที่คาดว่าจะมีในอนาคต เป็นการประสานกระบวนการขาย การตลาด และการให้บริการทั้งหมด

สาเหตุที่ต้องมี CRM

เนื่องจากการทำธุรกิจในยุคโลกาภิวัตน์ มีการเปลี่ยนแปลงคือ
  • การแข่งขันทางธุรกิจสุงขึ้น รุนแรง และรวดเร็ว
  • อำนาจซื้ออยู่ที่ลูกค้า
  • การหาลูกค้าใหม่มีต้นทุนสูงขึ้น
  • ลูกค้าที่อยู่กับบริษัทนาน เป็นลูกค้าที่มีคุณค่า
  • ลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้น บริษัทต้องตอบสนอง
  • หลัก 80 : 20 ทำให้ต้องจัดการลูกค้าแต่ละกลุ่มต่างกัน
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ช่วยให้เราเลือกลูกค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

ประโยชน์ของ CRM

  1. สร้างความจงรักภักดีของลุกค้าในระยะยาว
  2. เพิ่มยอดขายในระยะยาว
  3. สร้างประวัติ และชื่อเสียงที่ดีของบริษัท
  4. เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ
  5. มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าในระบบอิเล็กทรอนิกส์
  6. เป็นเครื่องมือช่วยเชื่อมต่อเข้ากับระบบงานอื่นๆ

ขั้นตอนของ CRM

การสร้างสายสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับลูกค้าด้วย CRM มีขั้นตอนดังนี้
  1. การค้นหาคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ และคุณค่าที่เหนือกว่าคู่แข่ง
  2. การกำหนดตลาดเป้าหมาย
  3. การนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้า
  4. การประเมิน

การนำเทคโนโลยีสารสนเทศนำมาใช้ใน CRM

  1. ระบบการตลาดอัตโนมัติ (Market Automation)
  2. การขายอัตโนมัติ (Sales automation)
  3. การบริการ (Service)

ความสามารถหลักของ CRM

  1. จัดการเรื่องการติดต่อ
  • ช่วยในด้านการขาย การตลาด การบริการอย่างมืออาชีพ
  • ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้า ที่มีความสัมพันธ์กันที่ผ่านมาเอาไว้
  • ช่วยเก็บข้อมูลของลูกค้าเอาไว้ในฐานข้อมูล
  • สามารถให้ลูกค้าติดต่อกับบริษัทได้โดยผ่านอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเครือข่ายอื่นๆ
     2.  การขาย
  • สนับสนุนกิจกรรมด้านการขาย
  • ลูกค้าสามารถเข้ามาตรวจเช็ค สถานะทางบัญชี ฝากเงินตามยอดขายของตนเอง
      3.  การตลาด
  • ส่งเสริมการขายได้โดยตรงด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น ทำให้การตั้งเป้าหมายทางการตลาดได้รับผลดี
  • ช่วยทำการตลาด เช่น ติดตามการส่งอีเมล์ไปยังลูกค้าได้โดยตรง
      4.  การบริการและการสนับสนุนลูกค้า
  • จัดการด้านการบริการด้วยซอฟต์แวร์ที่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้าได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์
  • สามารถใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้
  • ช่วยสนับสนุนลูกค้า โดยสามารถเพิ่มปรับปรุง มอบหมายงาน และจัดการการร้องขอด้านการบริการที่ลูกค้าร้องขอ

e-CRM

Electronic Customer Relationship Management หรือ e-CRMคือ การบริหารจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้าโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง รูปแบบของ e-CRM เป็นไปได้ทั้งการใช้ E-mail กิจกรรมด้วน E-commerce และอีกหลายวิธีการที่สามารถติดต่อเข้าถึงลูกค้าได้บนพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต

เทคโนโลยีของ e-CRM

การนำ e-CRM มาใช้ให้ประสบความสำเร็จอาจจะแบ่งกลุ่มเทคโนโลยีหลัก ได้ดังนี้
  1. เทคดนโลยีการจัดการฐานข้อมูล
  2. เทคโนโลยีที่สามารถโต้ตอบได้
  3. เทคโนโลยีการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานเดียวกันเป็นจำนวนมากแต่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
  4. เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม

การให้บริการลูกค้าผ่าน e-CRM

งานหลักของ e-CRM คือให้บริการลูกค้าผ่าน Web ตัวอย่างได้แก่
  1. ความสามารถในการค้นหาและเปรียบเทียบ
  2. ให้บริการฟรีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ
  3. ให้สารสนเทศเชิงเทคนิคและอื่นๆ รวมทั้งบริการต่างๆ ด้วย
  4. จัดผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะสมกับความต้องการของลุกค้า
  5. ติดตามสถานะการสั่งของ การจัดส่ง การชำระเงิน เป็นต้น

คุณสมบัติที่ดีของ e-CRM

  • มีความสามารถในการบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
  • ประเมินความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าได้
  • มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในระบบการทำงาน
  • มีการอำนวยความสะดวกให้ลุกค้าในการรับข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และทันต่อเหตุการณ์

ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System : SCM)

Supply Chain Management : SCM คือ กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่างๆ ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภค โดยที่องค์การต่างๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องกัน

โครงสร้างโซ่อุปทาน (Supply Chain Model)

  • เป็นการอธิบายการไหลของวัตถุดิบต่างๆ ข้อมูลทางการเงิน และการบริการต่างๆ ตั้งแต่ผู้ขายวัตถุดิบทั้งหลายมาจนถึงโรงงาน และจากดกดังเก็บสินค้าไปจนถึงลูกค้าท้ายสุด
  • ลักษณะโครงสร้างของโซ่อุปทานมีอยู่หลายรูปแบบส่วนมากมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งมีรูปแบบการไหลในลักษณะของอัปสตรีม
  • การระบุว่าจุดไหนคืออัปสตรีมนั้น ให้ใช้ตำแหน่งของบริษัทที่พิจารณาเป็นหลัก
  • การเรียงลำดับส่วนประกอบของโซ่อุปทานจากอัปสตรีมไปยังดาวน์สตรีมอาจจะเรียงได้ดังนี้
  1. ผู้จัดจ่ายวัตถุดิบ/ส่วนประกอบ
  2. ผู้ผลิต
  3. ผู้ค้าส่ง/ผู้กระจายสินค้า
  4. ผู้ค้าปลีก
  5. ผู้บริโภค

แนวคิดการบริหารห่วงโซ่อุปทาน

  1. เปลี่ยนจากการทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเป็นการทำงานร่วมกันเป็นกระบวนการ
  2. เปลี่ยนเป้าหมายที่กำไรเป็นการทำงานที่มีเป้าหมายหลายด้าน
  3. เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เป็นการมุ่งเน้นลูกค้า
  4. รักษาปริมาณสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม
  5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ

ประโยชน์ของ SCM

  • ลดระดับของสินค้าคงคลัง
  • เพิ่มผลิตภาพ
  • ลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
  • ลดรอบเวลาของการทำธุรกรรม
  • การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น
  • การเปิดตลาดใหม่ๆ
  • การสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้ามากขึ้น
  • ลดต้นทุนธุรกิจ
  • มีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดี

โครงสร้างส่วนประกอบของ SCM

  • การสนับสนุน Supply Chain โดยใช้ IT แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ
  1. Upstream supply chain (ห่วงโซ่ต้นทาง)
  2. Internal supply chain (ห่วงโซ่ภายใน)
  3. Downstream supply chain (ห่วงโซ่ปลายทาง)

การประยุกต์ใช้กลยุทธ์การบริหาร SCM

กลยุทธ์ของ SCM สามารถแบ่งประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้
  1. ความยืดหยุ่นในระบบ
  2. องค์กรควรมีการออกแบบระบบให้เหมาะสม
  3. มีการจัดแบ่งลูกค้าและสินค้า
  4. การบริหารการพัฒนาสินค้า การบริหารต้นทุนเป้าหมายของสินค้า การบริหารต้นทุนของสินค้าตลอดช่วงอายุ
  5. การผลิตสินค้า/บริการเฉพาะลูกค้า
  6. การใช้ข้อมูลอย่างเหมาะสม
  7. การลดความสูญเสีย
  8. การสร้างพันธมิตร
  9. การใช้ประโยชน์จากอิเล็กทรอนิกส์
  10. การพัฒนาบุคลากร











แหล่งอ้างอิง
https://www.openerpthailand.org/viewtopic.php?t=442
https://sites.google.com/site/karcadkarsoxupthan/kar-cadkar-so-xupthan/prayochn-laea-naewkhid-khxng-kar-brihar-scm

บทที่ 6

E-commerce
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


E-Business & E-Commerce

          ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business) หมายถึง การดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง โดยมีการประยุกต์ใช้ในทุกกิจกรรมของธุรกิจ ทั้งกิจกรรมส่วนหน้า (Front Office) และกิจกรรมส่วนหลัง (Back Office) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับระบบการค้ากับองค์กรภายนอกด้วย
          พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) หมายถึง การดำเนินซื้อขายสินค้าหรือบริการระหว่างธุรกิจ บุคคล ภาครัฐ และองค์กรสาธารณะ โดยผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องติดต่อซื้อขายกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน เช่น อินเทอร์เน็ต และสามารถทำการแลกเปลี่ยนและติดต่อในเรื่องต่างๆ เช่น การชำระเงิน การจัดส่ง ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์

โครงสร้างของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

โครงสร้างของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
  1. กิจกรรมส่วนหน้า (Front Office)
  2. กิจกรรมส่วนหลัง (Intra-back Office)
  3. กิจกรรมกับองค์กรภายนอก (Extra-back Office)

ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

กรอบการทำงานของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

กรอบการทำงานของ e-commerce ตามรูปแบบจำลอง แบ่งองค์ประกอบออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
  1. การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application) หมายถึง ลักษณะงานที่จะนำ e-commerce มาประยุกต์ใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับธุรกิจ
  2. โครงสร้างพื้นฐาน (E-commerce Infrastructure) หมายถึง องค์ประกอบหลักสำคัญด้านเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะทำให้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทำงานได้ต่อไป
  3. การสนับสนุน (E-commerce Supporting) เป็นส่วนที่คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการประยุกต์ใช้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การจัดการ (E-commerce Management) หมายถึง การวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบของแบบจำลองทางธุรกิจ เพื่อกำหนดรูปแบบของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้เหนือคู่แข่งขัน

รูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

การแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ (product) กระบวนการ (process) และตัวแทนการส่งมอบสินค้า (agent) อาจแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
  1. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ
  2. พาณิชย์อิเล้กทรอนิกส์แบบบางส่วน

โมเดลทางธุรกิจ EC

แบ่งเป็น 3 แบบ ดังนี้
  1. บริคแอนด์มอร์ต้า (Brick and Mortar) หมายถึง ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูนประกอบการค้าขายแบบ "Off-line" คือไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ต
  2. บริคแอนด์คลิ้ก (Brick and Click) หมายถึง ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูน ซึ่งเดิมเป็นธุรกิจแบบบริคแอนด์มอร์ต้า แต่ต่อมาขยายมาทำธุรกิจที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตด้วย จึงทำทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เนื่องจากต้องการผสมผสานความได้เปรียบทางการแข่งขันมาจากธุรกิจทั้งทางด้านความชำนาญ ฐานข้อมูลและสายสัมพันธ์ มาจากธุรกิจเดิมที่ดำเนินงานอยู่ เช่น www.thaigem.com, www.se-ed.com, www.central.co.th
  3. คลิ้กแอนด์คลิ้ก (Click and Click) หรือดอทคอม (Dot.com) หมายถึง ธุรกิจที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ไม่มีอาคารสถานที่สำหรับประกอบธุรกิจ เช่น www.amazon.com, www.sanook.com, www.ToHome.com

ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

  1. กลุ่มธุรกิจที่ค้ากำไร (Profit) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
  • Business-to-Consumer (B2C) เป็นธุรกรรมที่กระทำระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเป็นการค้าขายแบบขายปลีก ที่มีทั้งการสั่งซื้อสินค้าจำนวนไม่มากและมูลค่าการซื้อขายไม่สูงมากนัก เช่น www.tohome.com, www.misslily.com, www.yahoo.com, www.amazon.com
  • Business-to-Business (B2B) เป็นธุรกรรมที่กระทำระหว่างธุรกิจด้วยกันเอง ส่วนใหญ่จะมีการสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมากและมีมูลค่าการซื้อขายแต่ละครั้งจำนวนสูง ได้แก่ การสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิต เป็นต้น เช่น www.FoodMarketExchange.com, Cisco.com, Intel.com
  • Consumer-to-Business (C2B) เป็นการทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ เช่น www.voxcap.com, www.thaitambon.com
  • Consumer-to-Consumer (C2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคลที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อ/ลูกค้า หรือผู้ใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ใช่รูปแบบของร้านค้า เช่น www.ThaiSeconHand.com, www.Ebay.com
      2. กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non-Profit) แบ่งเป็น
  • Business-to-Government (B2G) เป็นธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับภาครัฐ
  • Government-to-Citizent (G2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างภาครัฐกับประชาชนโดยไม่ค้ากำไร
  • Business-to-Employees (B2E) เป็นการทำธุรกรรมภายในองค์กรระหว่างองคืกรกับพนักงาน
  • Exchange-to-exchange (E2E) เป็นการทำธุรกรรมโดยอาศัย E-Commerce เป็นช่องทางสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกัน
  • Intrabusiness EC เป็นการทำธุรกรรมที่อาศัยระบบเครือข่ายอินทราเน็ต สำหรับสื่อกลางในการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และสารสนเทศ
  • Collaborative Commerce (C-Commerce) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างผู้ร่วมค้าทางธุรกิจ ที่ต้องปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายในห่วงโซ่อุปทาน

ประเภทของสินค้าและบริการ

แบ่งประเภทของสินค้าและบริการพาณิชย์อิเล้กทรอนิกส์ ตามความหมายขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO)
  1. สินค้าที่จับต้องได้ (Tangible Goods)
  2. สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Goods) หรือสินค้าดิจิทัล (Digital goods)
  3. กลุ่มสินค้าบริการ (Services)
  4. Mobile Commerce (M-Commerce)
  5. Social Commerce (S-Commerce)
  6. Nonbusiness E-Commerce

ประเภทของเว็บไวต์ EC

  1. เว็บไซต์แค็ตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web Site) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น www.Tarad.com
  2. ร้านค้าออนไลน์ (E-shop Web Site) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ที่มีความสมบูรณ์แบบดดยมีทั้งระบบการจัดการสินค้า ระบบตระกร้าสินค้า ระบบการชำระเงิน ระบบการขนส่ง ผู้ซื้อสามารถทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้ทันที เช่น www.Thaigem.com
  3. การประมูลสินค้า (Auction) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการนำเสนอการประมูลสินค้า โดยเป้นการแข่งขันเสนอราคาระหว่างผู้ต้องการประมูล และขายให้กับผู้ให้ราคาสูงสุด เช่น www.Ebay.com
  4. การประกาศซื้อขาย (E-classified) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจประกาศความต้องการขายสินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ เช่น www.Panthipmarket.com
  5. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-marketplace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าต่างๆ และจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ เช่น www.Talad.com, www.Thaitambon.com

ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์

ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Marketing : E-marketing หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นกิจกรรมที่เป็นการสื่อสาร 2 ทาง และเป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถติดต่อกับผู้บริโภคได้ทั่วโลกและตลอดเวลา

หลักการตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

หลักการตลาดของธุรกิจทั่วไปจะมีการนำหลัก 4p มาใช้คือ
  • Product
  • Price
  • Place
  • Promotion
แต่หลักการตลาดของธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต จะมีหลักการเพิ่มขึ้นมาตามสถานการณ์ของการประยุกต์ใช้ คือ
  • Personalization การให้บริการส่วนบุคคล
  • Privacy การรักษาความเป็นส่วนตัว

ขั้นตอนการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

  1. การหาข้อมูล/การโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Searching and Advertising)
  2. การทำธุรกรรม (Transaction)
  3. การทำคำสั่งซื้อ (Ordering)
  4. การชำระเงิน (Payment)
  5. การจัดส่ง (Delivery)

ลักษณะการใช้งานระบบตะกร้าสินค้า


ระบบตะกร้าสินค้าหรือรถเข็น








แหล่งอ้างอิง
https://www.slideshare.net/kanusorn/shopping-cart
https://www.mindphp.com/
https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-1/e_commerce/10.html





วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บทที่5

โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

Information Technology Infrastructure

โทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีไร้สาย




เครือข่ายคอมพิวเตอร์

          เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (computer network) คือ เครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครืองขั้นไป สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต
          การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
          การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยจัดเก็บข้อมูล โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้
          อุปกรณ์เครือข่ายที่สร้างข้อมูล ส่งมาตามเส้นทางและบรรจบข้อจะเรียกว่าโหนดเครือข่าย ดหนดประกอบด้วยโฮสต์ เช่น เวิร์ฟเวอร์ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย อุปกรณ์สองตัวจะกล่าวว่าเป็นเครือข่ายได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการในเครื่องหนึ่งสามารถที่จะเเลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระบวนการในอีกอุปกรณ์หนึ่งได้


เครือข่ายในบริษัทขนาดใหญ่



เทคโนโลยีเครือข่าย


การแบ่งประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์

แบ่งประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามขนาด
          ระบบเครือข่ายระยะใกล้ (LAN: Local Area Network) เป็นเครือข่ายซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดเชื่อมโยงกันอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น อยู่ภายในแผนกเดียวกันอยู่ภายในสำนักงาน หรือภายในตึกเดียวกัน


          ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN: Wide Area Network) เป็นเครือข่ายที่ประกอบด้วยเครือข่าย LAN ตั้งแต่ 2 วงขึ้นไป เชื่อมต่อกันในระยะที่ไกลมาก เช่น ระหว่างเมือง หรือ ระหว่างประเทศ


          ระบบเครือข่ายบริเวณเมืองใหญ่  (MAN: Metropolitan Area Network) เป็นระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจตั้งอยู่ห่างไกลกันในช่วง 5 ถึง 50 กิโลเมตร ผู้ใช้ระบบนี้มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่การใช้ข้อมูลจำกัดอยู่ภายในบริเวณเมือง



แบ่งประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามสถาปัตยกรรม
          สถาปัตยกรรมของระบบเครือข่าย หรือโทโปโลยี (Topology) คือ ลักษณะทางกายภาพของเครือข่ายนั้น ซึ่งหมายถึง ลักษณะการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ภายในเครือข่ายด้วยกันเอง

  1. โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology) มีโหนดในเครือข่ายเชื่อมต่อกับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า บัส (BUS) ซึ่งโหนดจะต้องรอให้บัสว่างก่อนแล้วจึงจะส่งข้อมูลได้ เพราะการเชื่อมต่อแบบนี้มีสายสื่อสารหลักเพียงเส้นเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งในบัส โหนดแต่ละโหนดจะตรวจสอบข้อมูลว่าใช่ของตนหรือไม่ ถ้าใช่จะรับข้อมูลนั้นไว้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยผ่านไป
  2. โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology) เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลม โดยข้อมูลข่าวสารจะไปในทิศทางเดียวกันเหมือนวงแหวน แต่ละโหนดจะรับข้อมูลที่ไหลผ่านมาตรวจสอบว่าใช่ของตนเองหรือเปล่า ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลนั้นไว้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลให้ไปยังโหนดต่อไป
  3. โทโปโลยีแบบดาว (Star Topology) เป็นการเชื่อมโยงโหนดแต่ละโหนดเป็นรูปดาวหลายๆ แฉก โดยมีสถานีกลางเป็นจุดผ่านข้อมูล ในปัจจุบันโทโปโลยีแบบดาวเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีการใช้อุปกรณ์สวิทช์ที่ช่วยให้โหนดแต่ละโหนดส่งข้อมูลถึงกันในเวลาพร้อมๆ กันได้
  4. โทโปโลยีแบบผสม (Hybrid Topology) เป็นเครือข่ายการสื่อสารแบบผสมผสานระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหนึ่ง หรือมากกว่า เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน
แบ่งประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามสถาปัตยกรรม
  1. ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล และเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ เพื่อให้เครื่องเทอร์มินอลส่งคำสั่งมาประมวลผลที่เครื่องกลาง ซึ่งมักจะใช้เครื่องเมนเฟรมเป็นเครื่องศูนย์กลาง ระบบเครือข่ายแบบนี้มีข้อด้อยคือเครื่องศูนย์มีราคาแพง และทำงานแบบหลายงานได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก
  2. ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer แต่ละโหนดบนระบบเครือข่าย Peer-to-Peer จะมีความเท่าเทียมกัน สามารถที่จะแบ่งทรัพยากรให้แก่กันและกันได้ เช่น การใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน เป็นต้น แต่ละโหนดจะมีขีดความสามารถในการทำงานได้ด้วยตนเอง เพราะมีทรัพยากรภายในของตัวเอง อาทิ หน่วยความจำ หน่วยประมวลผล
  3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server ระบบนี้จะมีเครื่อง Server อย่างน้อย 1 เครื่อง และจะมีเครื่อง Client หรือเรีกอีกอย่างว่าเครื่องลูกข่ายตามจำนวนที่ต้องการใช้งาน เครื่องลูกข่ายสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง

สื่อและการส่งผ่านความเร็ว

  1. สายคู่ตีเกลียว (Twisted-Pair Cable) เป็นสายที่มีราคาถูก ประกอบด้วยสายทองแดงที่มีฉนวนหุ้ม 2 เส้น นำมาพันกันเป็นเกลียว ส่วนใหญ่จะใช้ในระบบโทรศัพท์ ความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps ส่งได้ในระยะทาง 1 mile สายคู่ตีเกลียวสามารถแบ่งได้ 2 ชนิด คือ แบบไม่มีชิลด์และแบบมีชิลด์

  2. สายโคแอกเชียล (coaxial Cable) ประกอบด้วยลวดทองแดงอยู่ตรงกลางหุ้มด้วยฉนวนพลาสติก จากนั้นหุ้มด้วยทองแดงถักเป็นแผ่นแล้วหุ้มภายนอกอีกชั้นด้วยฉนวน ป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและอื่นๆ ความเร็วในการส่งข้อมูล คือ 350 Mbps ส่งได้ระยะทางไกล 2-3 mile
  3. สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable) ประกอบด้วยเส้นใยที่ทำมาจากใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ที่แกนกลาง ส่วนอีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก ใช้สำหรับส่งข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง และมีจำนวนมากความเร็วในการส่งข้อมูลมีมากถึง 1 Gbps
   

  • บิตต่อวินาที (bps) คือ จำนวนรวมของข้อมูลดิจิทัล สามารถส่งผ่านสื่อโทรคมนาคมได้
  • เฮิรตซ์ มีค่าเท่ากับ 1 รอบของสื่อ
  • แบนด์วิดท์ คือ ความกว้างของแถบคลื่นความถี่ แบนด์วิดท์เป็นคำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ตคืออะไร

  • อินเทอร์เน็ตกลายเป็นระบบสื่อสารที่กว้างขวางที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การใช้คอมพิวเตอร์ Client/Server และเครือข่ายนับล้าน ๆ แห่งทั่วทั้งเครือข่ายโลก
  • ผู้ให้บริการอินเทอรืเน็ต (ISP) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตขององค์กร ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างถาวร ที่ขายการเชื่อมต่อชั่วคราวกับผุ้ค้าปลีก
  • มีบริการที่หลากหลายสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ISP
  • สายโทรศัพท์และโมเด็มแบบดั้งเดิม เชื่อมต่อด้วยความเร็ว 56.6 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps) รูปแบบการเชื่อมต่อทั่วโลกเคยเป็นจำนวนมากที่สุด แต่ส่วนใหย่แล้วแทนที่ด้วยการเชื่อมต่อ Broadband สายสมาชิกดิจิทัล สายเคเบิล การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมและสาย T
  • เทคโนโลยีสายสัญญาณสมาชิกแบบดิจิทัล (DSL) ใช้งานได้มากกว่าที่มีอยู่ สายโทรศัพท์ที่จะนำข้อมูลเสียงและวิดีโอในอัตราส่งตั้งแต่ 385 Kbps ขึ้นไปถึง 40 Mbps ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้และระยะทาง
  • ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิล สายเคเบิลแบบคู่สายแบบดิจิตอลเพื่อให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ บ้านและธุรกิจสามารถให้การเข้าถึงความเร็วสูงถึง 50 Mbps แม้ว่าผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะมีบริการตั้งแต่ 1 Mbps ไปจนถึง 6 Mbps ในพื้นที่ที่ไม่มีบริการ DSL และสายเคเบิลอยู่ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแม้ว่าดาวเทียมบางดวงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเร็วในการอัปโหลดช้าลงกว่าที่อื่นบริการบรอดแบนด์
  • T1 และ T3 เป็นมาตรฐานโทรศัพท์ระหว่างประเทศสำหรับระบบดิจิตอล การสื่อสาร จะเช่าสายทุ่มเทที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ต้องการการรับประกันความเร็วสูง ระดับการให้บริการ สาย T1 มีการส่งมอบที่รับประกันได้ที่ 1.54 Mbps และสาย T3 มีการส่งมอบที่ 45 Mbps

ที่อยู่และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต


  • คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนอินเทอร์เน็ตได้รับมอบหมายเฉพาะที่อยู่ Internet Protocol (IP) ซึ่งปัจจุบันเป็นแบบ 32 บิต ตัวเลขที่แสดงโดยสี่สายของตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 255 คั่นด้วยช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น IP ที่อยู่ของ www.microsoft.com คือ 207.46.250.119
  • ระบบชื่อโดเมน
  • Domain Name System (DNS) แปลงชื่อโดเมนเป็นที่อยู่ IP ชื่อโดเมนเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่ตรงกับหมายเลข IP แอดเดรส 32 บิตที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต


สถาปัตยกรรมอินเทอร์เน็ตและการกำกับดูแล

  • การรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจะดำเนินการผ่านความเร็วสูงข้ามทวีป เครือข่ายหลักที่ใช้งานอยู่ในช่วงของ 45 Mbps ถึง 2.5 Gbps

  • อินเทอร์เน็ตในอนาคต: IPv6 และ Internet2 
  • IPv6 (Internet Protocol version 6) เป็นที่อยู่ใหม่ schema กำลังแทนที่ IPv4 เวอร์ชันเก่าซึ่งมีอยู่ ที่อยู่ 128 บิต (2 ถึงกำลังไฟ 128) หรือมากกว่าที่อยู่ที่เป็นเอกลักษณ์สี่พันล้าน
  • IPv6 ไม่สามารถใช้งานร่วมกับที่อยู่อินเทอร์เน็ตได้ ดังนั้นการเปลี่ยนไปใช้มาตรฐานใหม่จะใช้เวลาหลายปี
  • อินเทอร์เน็ต 2
  • Internet2 เป็นกลุ่มเครือข่ายขั้นสูงที่เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยเอกชนกว่า 350 แห่งในสหรัฐฯและรัฐบาลหน่วยงาน เพื่อเชื่อมต่อชุมชนเหล่านี้ Internet2 พัฒนา a เครือข่ายความจุสูง 100 Gbps ที่ทำหน้าที่เป็น testbed สำหรับ เทคโนโลยีชั้นนำที่อาจโยกย้ายไปยังอินเทอร์เน็ตสาธารณะ รุ่นที่สี่ของเครือข่ายนี้กำลังอยู่รีดออกเพื่อให้ความจุ 8.8 terabits
เว็บ (The Web)
  • เว็บเป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการจัดเก็บ เรียกค้น จัดรูปแบบและแสดงข้อมูลโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์
  • เว็บเพจได้รับการฟอร์แมตโดยใช้ไฮเปอร์เท็กซ์ด้วยลิงก์แบบฝังที่เชื่อมต่อเอกสารกับอีกคนหนึ่งและที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ เช่นเสียง วิดีโอ หรือ ไฟล์ภาพเคลื่อนไหว
  • เว็บไซต์คือชุดของเว็บเพจที่เชื่อมโยงกับบ้าน
  • เว็บเพจแบบไฮเพอร์เท็กซ์ใช้ Hypertext มาตรฐานภาษามาร์คอัป (HTML) ซึ่งจัดรูปแบบเอกสารและรวมลิงค์แบบไดนามิกกับเอกสารอื่น ๆ และภาพที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันหรือระยะไกล
  • Hypertext Transfer Protocol (HTTP) คือมาตรฐานการสื่อสารที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลในเว็บตัวอย่างเช่น เมื่อคุณพิมพ์ที่อยู่เว็บเบราเซอร์ เช่น http://www.sec.gov เบราเซอร์ของคุณจะส่งการร้องขอ HTTP ไปยังเซิร์ฟเวอร์ sec.gov ที่ร้องขอหน้าแรกของ sec.gov
  • Uniform Resource Locator (URL) เมื่อพิมพ์ลงในเบราว์เซอร์ URL บอกซอฟต์แวร์เบราว์เซอร์เพื่อค้นหาข้อมูล ตัวอย่างเช่นใน URL http://www.megacorp.com/content/features/082610.html
  • เว็บเซิร์ฟเวอร์เป็นซอฟต์แวร์สำหรับค้นหาตำแหน่งและจัดการที่เก็บไว้หน้าเว็บ ตั้งอยู่เว็บเพจที่ผู้ใช้ร้องขอบนคอมพิวเตอร์ที่เก็บและจัดส่งเว็บเพจไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้

การค้นหาข้อมูลบนเว็บ

  • เครื่องมือค้นหาเป็นโปรแกรมที่ค้นหาและระบุรายการในฐานข้อมูลที่ตรงกับคำหรือตัวอักษร ระบุโดยผู้ใช้ซึ่งใช้เฉพาะสำหรับการค้นหาเฉพาะไซต์บนเวิลด์ไวด์เว็บ
  • เครื่องมือค้นหาของวันนี้สามารถลอดผ่านไฟล์ HTML ไฟล์จากโปรแกรม Microsoft Office ไฟล์ PDF รวมทั้งเสียง วิดีโอ และไฟล์ภาพ มีเครื่องมือค้นหาหลายร้อยเครื่องมือในโลก แต่ส่วนใหญ่ของผลการค้นหาเป็นแบบ Google Yahoo! และ Microsoft's Bing
  • เครื่องมือค้นหาเว็บเป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ
  • การค้นหาบนมือถือเป็นสาขาที่กำลังพัฒนาของบริการสืบค้นข้อมูล ซึ่งก็คือเน้นการรวมกันของแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์มือถือ หรือว่าสามารถใช้เพื่อบอกข้อมูลเกี่ยวกับบางอย่างและอุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น ๆ
  • คุณลักษณะการค้นหาที่คาดเดาล่วงหน้าใช้อัลกอริธึมการค้นหาที่คาดการณ์ล่วงหน้าตามข้อมูลที่ได้รับความนิยมค้นหา เพื่อคาดเดาคำค้นหาของผู้ใช้เมื่อพิมพ์โดยให้รายการแบบหล่นลง ข้อเสนอแนะที่เปลี่ยนแปลงเมื่อผู้ใช้เพิ่มอักขระมากขึ้นในการป้อนข้อมูลการค้นหา
  • การค้นหาทางสังคมเป็นความพยายามที่จะให้การค้นหาน้อยลงมีความเกี่ยวข้องและเชื่อถือได้ยิ่งขึ้น ผลจากเครือข่ายการติดต่อทางสังคมของบุคคล
  • Semantic Search เป็นเครื่องมือค้นหาที่สามารถเข้าใจมนุษย์ได้จริงๆ ภาษาและพฤติกรรมที่สร้างแบ่งปันและเชื่อมต่อเนื้อหาผ่านการค้นหา และการวิเคราะห์ตามความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำไม่ใช่คำหลักหรือตัวเลข
  • Bots ช้อปปิ้งตัวแทนอัจฉริยะเป็นเครื่องมือเปรียบเทียบราคาสินค้าออนไลน์ ซึ่งจะค้นหาผลิตภัณฑ์ของร้านค้าออนไลน์หลายแห่งโดยอัตโนมัติไปที่หาราคาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกค้า
  • Chatbots เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ดำเนินการการสนทนาผ่านวิธีการฟังหรือข้อความเดิมและมักใช้ในการโต้ตอบ ระบบเพื่อวัตถุประสงค์ในทางปฏิบัติต่างๆรวมถึงการบริการลูกค้าหรือข้อมูลการเข้าซื้อกิจการ

เว็บ 2.0
          เว็บ 2.0 เป็นสถานะปัจจุบันของเทคโนโลยีออนไลน์เมื่อเทียบกับวันแรก ๆ ของเว็บ ดดยมีการดต้ตอบและการทำงานร่วมกันของผู้ใช้มากขึ้น การเชื่อมต่อเครือข่ายแพร่หลายมากขึ้นและช่องทางการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น Web 2.0 มีสี่คุณสมบัติที่กำหนด ได้แก่ การติดต่อสื่อสารเรียลไทม์ การควบคุมผู้ใช้การมีส่วนร่วมทางสังคม การแชร์ และ ผู้ใช้สร้างขึ้น คุณลักษณะเหล่านี้ประกอบด้วยการประมวลผลแบบคลาวด์ซอฟต์แวร์ mashups และ apps blog  RSS wikis และ social

เว็บ 3.0
          เว็บ 3.0 มีห้าคุณสมบัติที่กำหนดไว้ ดังนี้
  1. Semantic Web ปรับปรุงเทคโนโลยีเว็บเพื่อสร้าง แบ่งปันและเชื่อมต่อเนื้อหาผ่านการค้นหาและการวิเคราะห์ตามความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำมากกว่าคำหลักหรือหมายเลข
  2. ปัญญาประดิษฐ์ผสมผสานความสามารถนี้เข้ากับธรรมชาติ การประมวลผลภาษาใน Web 3.0 คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ข้อมูลเช่นมนุษย์เพื่อให้ได้เร็วขึ้นและมีความเกี่ยวข้องมากขึ้น
  3. กราฟิก 3D การออกแบบสามมิติถูกใช้อย่างกว้างขวางในเว็บไซต์และบริการ อดีต คู่มือพิพิธภัณฑ์เกมคอมพิวเตอร์ อีคอมเมิร์ซ บริบทเชิงพื้นที่ ฯลฯ
  4. ข้อมูลการเชื่อมต่อเชื่อมต่อกับข้อมูลเมตาแบบ semantic มากขึ้น เป็นผลให้ประสบการณ์ของผู้ใช้วิวัฒนาการไปสู่อีกระดับหนึ่งของการเชื่อมต่อที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่
  5. Ubiquity Content สามารถเข้าถึงได้โดยแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวทุกอุปกรณ์ เชื่อมต่อกับเว็บบริการต่างๆสามารถใช้งานได้ทุกที่















แหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/
https://www.krui3.com/content/network-technology/
https://whatis.techtarget.com/definition/Web-20-or-Web-2

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บทที่4

โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

Information Technology Infrastructure

ฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศ



ฐานข้อมูล

          ฐานข้อมูลเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบำรุงรักษาข้อสารสนเทศ (Maintain information) ให้สามารถนำมาใช้ได้ตามต้องการ ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
          ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อยู่ในรูปของตัวเลขหรือสัญลักษณ์ต่างๆที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัด ข้อมูลเป็นไปได้ทั้งข้อมูลตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใดๆ ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่อง ตัวอย่างของข้อมูล เช่น คะแนนสอบ ชื่อนักเรียน เพศ อายุ เป็นต้น
          ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน นำมาเก็บรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกันเป็นฐานข้อมูลนั้น ต้องตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานขององค์กร เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นร่วมกันอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ปัญหาของการจัดการข้อมูล
  • ระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพให้ผู้ใช้ถูกต้องทันเวลาและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  • ข้อมูลที่ถูกต้องปราศจากข้อผิดพลาด
  • ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจเมื่อจำเป็น
  • ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมีความเกี่ยวข้องเมื่อเป็นประโยชน์และเหมาะสมกับประเภทของงานและการตัดสินใจเมื่อต้องการ
  • หลายธุรกิจไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องทันเวลาหรือมีความเกี่ยวข้อง เนื่องจากข้อมูลในระบบสารสนเทศของพวกเขาได้จัดสรรและบำรุงรักษาได้ไม่ดี
ลำดับชั้นข้อมูล


          ลำดับชั้นข้อมูล หมายถึง การจัดระบบข้อมูลอย่างเป็นระบบซึ่งมักอยู่ในรูปแบบลำดับชั้น องค์กรข้อมูลเกี่ยวข้องกับอักขระ ฟิลด์ ระเบียน ไฟล์ และอื่นๆ แนวคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นเมื่อพยายามที่จะดูว่าอะไรทำให้ข้อมูลขึ้นและข้อมูลมีโครงสร้างหรือไม่ 
  • ฟิลด์ กลุ่มของอักขระคำหรือจำนวนที่สมบูรณ์
  • ระเบียน กลุ่มของฟิลด์ที่เกี่ยวข้องที่อธิบายถึงเอนทิตี้ (บุคคล สถานที่หรือสิ่งที่ต้องเก็บข้อมูลใดๆไว้)
  • ไฟล์ กลุ่มของระเบียนที่มีประเภทเดียวกัน
  • ฐานข้อมูล  กลุ่มของไฟล์ที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลแบบแผนสิ่งแวดล้อม
  • ข้อมูลซ้ำซ้อนและไม่สอดคล้องกัน 
  • ความซ้ำซ้อนของข้อมูล คือ การมีข้อมูลซ้ำในระบบไฟล์ข้อมูลหลายชุด เพื่อเก็บข้อมูลเดียวกันมากกว่าหนึ่งสถานที่ ซึ่งนำไปสู่ของเสียทรัพยากรการจัดเก็บ
  • ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน คือ แอททริบิวต์เดียวกันอาจมีค่าที่แตกต่างกันและยังนำโดยข้อมูลซ้ำซ้อน

การพึ่งพาข้อมูลของโปรแกรม
  • การพึ่งพาข้อมูลโปรแกรม หมายถึง การมีข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันเก็บไว้ในไฟล์และโปรแกรมเฉพาะที่ต้องการ อัพเดตและบำรุงรักษาไฟล์เหล่านั้น ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมต้องมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในไฟล์แบบดั้งเดิม สภาพแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในโปรแกรมซอฟต์แวร์ได้ ต้องการการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เข้าถึงโดยโปรแกรมนั้น
  • ขาดความยืดหยุ่น
  • ระบบไฟล์แบบดั้งเดิมสามารถจัดกำหนดการตามกำหนดเวลาได้ รายงานหลังจากความพยายามในการเขียนโปรแกรมที่กว้างขวาง แต่ไม่สามารถส่งรายงานเฉพาะกิจหรือตอบสนองต่อความคาดหมายได้ต่อความต้องการของข้อมูลได้ทันท่วงที
  • การรักษาความปลอดภัยที่ไม่ดี
  • การจัดการข้อมูลอาจไม่มีทางรู้ว่าใครเข้าถึงหรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงข้อมูล
  • ขาดการแบ่งปันข้อมูลและการใช้งาน
  • หากผู้ใช้พบค่าที่แตกต่างกัน พวกเขาอาจไม่ต้องการใช้ระบบเหล่านี้ เพราะความถูกต้องของข้อมูลไม่สามารถไว้ใจได้
ระบบการจัดการข้อมูล (DBMS)

          ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) หรือที่เรียกว่า ดีบีเอ็มเอส (DBMS) คือ ซอฟต์แวร์สำหรับบริหารและจัดการฐานข้อมูล เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูลหรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล เปรียบเสมือนเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูลซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์

หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
  1. แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ฐานข้อมูลเข้าใจ
  2. นำคำสั่งต่างๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้ว ไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ (Retrieve) จัดเก็บ (Update) ลบ (Delete) เพิ่มข้อมูล (Add) เป็นต้น
  3. ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล
  4. รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
  5. เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ในพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า เมทาดาต้า (Metadata) ซึ่งหมายถึง "ข้อมูลของข้อมูล"
  6. ดูแลการใช้งานให้กับผู้ใช้ ในการติดต่อกับตัวจัดการระบบเเฟ้มข้อมูลได้
  7. ควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกันในระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน โปรแกรมการทำงานมักจะเป็นแบบผู้ใช้หลายคน (Multi User) 
  8. ควบคุมระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาติเข้ามาเรียกใช้หรือแก้ไขข้อมูลในส่วนป้องกันเอาไว้พร้อมทั้งสร้างฟังก์ชันในการจัดทำข้อมูลสำรอง
  9. ควบคุมการใช้ข้อมูลในสภาพที่มีผู้ใช้พร้อมๆ กันหลายคน โดยจัดการเมื่อมีข้อผิดพลาดของข้อมูลเกิดขึ้น
ความท้าทายด้านข้อมูลขนาดใหญ่

ข้อมูลขนาดใหญ่มีลักษณะดังนี้
  • ปริมาณ : ข้อมูลขนาดใหญ่คือชุดของข้อมูลใดๆ ที่มีขนาดใหญ่มากที่องค์กรเป็นเจ้าของจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดเก็บหรือประมวลผลข้อมูล ในความเป็นจริงแนวโน้ม เช่นอีคอมเมิร์ชความคล่องตัวสื่อทางสังคมและอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (loT) กำลังสร้างข้อมูลมากกว่าเกือบทุกองค์กรอาจเป็นไปตามเกณฑ์นี้
  • ความเร็ว : หากองค์กรของคุณกำลังสร้างข้อมูลใหม่อย่างรวดเร็วและต้องตอบสนองในเวลาจริง คุณมีความเร็วที่เกี่ยวข้องกับข้องมูลขนาดใหญ่ องค์กรส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ช สื่อสังคมออนไลน์หรือloT เป็นไปตามหลักเกณฑ์นี้สำหรับข้อมูลขนาดใหญ่
  • ความหลากหลาย : หากข้อมูลของคุณอยู่ในรูปแบบที่ต่างกัน จะมีความหลากหลายที่เชื่อมโยงกับข้อมูลขนาดใหญ่


          ทั้งสามสักษณะนี้ทำให้เกิดความท้าทายหลายอย่างที่องค์กรประสบในการริเริ่มข้อมูลขนาดใหญ่ของตน บางส่วนที่พบมากที่สุดของความท้าทายข้อมูลขนาดใหญ่มีดังนี้
  1. การจัดการกับการเติบโตของข้อมูล
  2. สร้างข้อมูลเชิงลึกในเวลาที่เหมาะสม
  3. สรรหาและรักษาความสามารถด้านข้อมูลขนาดใหญ่
  4. รวมแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน
  5. การตรวจสอบข้อมูล
  6. การรักษาความปลอดภัยข้อมูลขนาดใหญ่
  7. ความต้านทานองค์กร
โครงสร้างพื้นฐานระบบธุรกิจอัจฉริยะ
  • คลังข้อมูลและData Marts 
  • คลังข้อมูลเป็นฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลปัจจุบันและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้มีอำนาจตัดสินใจ ตลอดทั้งคลังสินค้า คลังข้อมูลของบริษัท
  • คลังข้อมูลปัจจุบันและประวัติจากการดำเนินงานหลายระบบและปรับโครงสร้างข้อมูลเพื่อการจัดการ การรายงานและการวิเคราะห์
  • ดาต้ามาร์ทเป็นเซตย่อยของคลังข้อมูลซึ่งประกอบด้วยสรุปหรือเน้นมากของข้อมูลขององค์กร จะอยู่ในฐานข้อมูลที่แยกต่างหากสำหรับประชากรเฉพาะของผู้ใช้
  • Hadoop ดป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่จัดการโดยอาร์ปาเช่ ฟังก์ชันซอร์ฟแวร์ ที่ให้การกระจาย ประมวลผลข้อมูลจำนวนมากในราคาไม่แพง คอมพิวเตอร์แบ่งปัญหาข้อมูลขนาดใหญ่ลงไปย่อย ปัญหากระจายไปในหมู่ถึงหลายพันคน  โหนดการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ราคาไม่แพงและรวมกันแล้วผลลัพธ์เป็นชุดข้อมูลขนาดเล็กที่สามารถวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น
  • คอมพิวเตอร์ในหน่วยความจำ
  • การประมวลผลในหน่วยความจำช่วยให้ชุดข้อมูลมีขนาดใหญ่มาก ข้อมูลที่มีขนาดเท่ากับข้อมูลของข้อมูลหรือข้อมูลขานดเล็ก คลังสินค้าเพื่ออาศัยอยู่ในหน่วยความจำทั้งหมด ธุรกิจที่ซับซ้อน การคำนวณที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันสามารถทำได้เสร็จสมบูรณ์ภายในไม่กี่วินาท่และยังสามารถทำงานได้บนอุปกรณ์มือถือ (ดูเซสชันกาารโต้ตอบในวันที่เทคโนโลยี)

ฐานข้อมูลและเว็บ
  • ในหลายบริษัทใช้เว็บเพื่อทำข้อมูลบางอย่างในฐานข้อมูลภายในที่มีให้สำหรับลูกค้าและธุรกิจพาร์ทเนอร์
  • ในสภาพแวดล้อมแบบไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์ DBMS อาศัยอยู่โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล DBMS ได้รับ SQL ร้องขอและให้ข้อมูลที่จำเป็น การโอน Middleware ข้อมูลจากฐานข้อมูลภายในองค์กรกลับไปที่เว็บเซิร์ฟเวอร์สำหรับการจัดส่งในรูปแบบของเว็บให้กับผู้ใช้
















แหล่งอ้างอิง
http://www.elfhs.ssru.ac.th/nutthapat_ke/file.php/1/GE/unit_6.pdf
https://en.wikipedia.org/wiki/Data_hierarchy
http://www.pongkorn.net/?article:194


วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่3


โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

Information Technology Infrastructure




โครงสร้างพื้นฐาน คือ
  • โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ประกอบด้วยชุดอุปกรณ์ทางกายภาพ แอพพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานทั้งองค์กร แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเป็นชุดของการให้บริการที่ครอบคลุมโดยงบ        
  • แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการให้บริการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อพนักงานลูกค้าและซัพพลายเออร์เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบดิจิตอลที่รวมกันซึ่ง ได้แก่ เมนเฟรมขนาดใหญ่คอมพิวเตอร์ขนาดกลางคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและแล็ปท็อปและโทรศัพท์มือถือและบริการคอมพิวเตอร์ระยะไกล
  • การให้บริการซอฟต์แวร์แอพพลิเคชันรวมถึงบริการซอฟต์แวร์ออนไลน์ซึ่งจะให้ความสามารถในระดับองค์กรเช่นการวางแผนทรัพยากรขององค์กรการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าการจัดการห่วงโซ่อุปทานและระบบการจัดการความรู้ที่ทุกหน่วยงานใช้ร่วมกัน
  • บริการโทรคมนาคมที่ให้ข้อมูลเสียงและวิดีโอเชื่อมต่อกับพนักงานลูกค้าและซัพพลายเออร์
  • บริการจัดการข้อมูลที่เก็บและจัดการข้อมูลขององค์กรและให้ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล



          การบริการที่บริษัทสามารถให้บริการแก่ลูกค้าซัพพลายเออร์และพนักงานเป็นหน้าที่โดยตรงของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที โครงสร้างพื้นฐานนี้ควรสนับสนุนกลยุทธ์ทางธุรกิจและระบบสารสนเทศของ บริษัท เทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ ๆ มีผลกระทบอย่างมากต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจและไอทีตลอดจนบริการที่สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้

วิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที
          โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในองค์กรปัจจุบัน เป็นวิวัฒนาการของแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ในวิวัฒนาการนี้มี 5 ขั้นตอนซึ่งแต่ละส่วนมีการกำหนดค่าองค์ประกอบการประมวลผลและองค์ประกอบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน 5 ยุคเป็นเมนเฟรมทั่วไปและคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครือข่ายไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ คอมพิวเตอร์ขององค์กร คลาวน์และมือถือ เทคโนโลยีที่ใช้ในยุคหนึ่งอาจใช้ในช่วงเวลาอื่นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ตัวอย่างเช่น บางบริษัทยังคงใช้ระบบเมนเฟรมแบบดั้งเดิมหรือใช้คอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่สนับสนุนเว็บไซต์ขนาดใหญ่และแอพพลิเคชันระดับองค์กร




การใช้งานทั่วไปในยุค เมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ (1959-ปัจจุบัน)
          การเปิดตัวเครื่องทรานซิสเตอร์ IBM 1401 และ 7090 ในปี 2502 เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้คอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวาง ในปี พ.ศ. 2508 เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมได้ก้าวเข้าสู่ตลาดด้วยการเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ไอบีเอ็ม 360 คอมพิวเตอร์เมนเฟรมมีประสิทธิภาพมากพอที่จะรองรับเครื่องนับพันแบบออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับเมนเฟรมที่รวมศูนย์โดยใช้โปรโตรคอลการสื่อสารที่เป็นกรรมสิทธิ์และสายข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์
ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (1981 ถึงปัจจุบัน)
          การขยายตัวของพีซีในทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 เปิดตัวเครื่องมือซอฟต์แวร์ประมวลผลคำสเปรดชีตซอฟต์แวร์การนำเสนออิเล็กทรอนิกส์และโปรแกรมการจัดการข้อมูลขนาดเล็กซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทั้งผู้ใช้ในบ้านและในองค์กร พีซีเหล่านี้เป็นระบบแบบสแตนด์อะโลนจนกระทั่งซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ PC ในปี 1990 ทำให้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายได้
ยุคไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์ (พ.ศ. 2526 ถึงปัจจุบัน)
          ในการประมวลผลแบบไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อปที่เรียกว่าไคลเอ็นต์จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งให้คอมพิวเตอร์ไคลเอ็นต์ที่มีบริการและความสามารถที่หลากหลาย การประมวลผลคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นสองประเภทนี้ ไคลเอ็นต์เป็นจุดเข้าใช้งานโดยที่เซิร์ฟเวอร์มักจะประมวลผลและเก็บข้อมูลที่ใช้ร่วมกันทำหน้าที่เว็บเพจหรือจัดการกิจกรรมบนเครือข่าย คำว่า "เซิร์ฟเวอร์" หมายถึงทั้งแอพพลิเคชันซอฟต์แวร์และคอมพิวเตอร์ทางกายภาพที่ใช้งานซอฟต์แวร์เครือข่าย เซิร์ฟเวอร์อาจเป็นเมนเฟรม แต่วันนี้คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์มักเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยใช้ชิปที่ไม่แพงและมักใช้โปรเซสเซอร์หลายตัวในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวหรือใน racks ของเซิร์ฟเวอร์
ยุคคอมพิวเตอร์องค์กร (พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน)
          ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 บริษัทต่างๆได้หันมาใช้ระบบเครือข่ายมาตรฐานและเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่สามารถผสานรวมเครือข่ายและแอพพลิเคชันที่แตกต่างกันไปทั่วทั้งองค์กรเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร เมื่ออินเทอร์เน็ตพัฒนาสู่สภาพแวดล้อมการติดต่อสื่อสารที่เชื่อถือได้หลังจากปี 2538 บริษัท ธุรกิจเริ่มใช้มาตรฐานเครือข่ายการควบคุมการรับส่ง / อินเทอร์เน็ตโพรโทคอล (TCP / IP) อย่างจริงจังเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายที่แตกต่างกันไป
คลาวด์และยุคคอมพิวเตอร์มือถือ (พ.ศ. 2543 ถึงปัจจุบัน)
          Cloud computing หมายถึงรูปแบบการประมวลผลที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกันได้ (คอมพิวเตอร์, การจัดเก็บแอพพลิเคชันและบริการ) ผ่านทางเครือข่ายซึ่งมักเป็นอินเทอร์เน็ต คุณสามารถเข้าถึง "กลุ่มเมฆ" ทรัพยากรทางการคอมพิวเตอร์เหล่านี้ได้ตามต้องการจากอุปกรณ์และสถานที่ที่เชื่อมต่อกัน หรือ "แบบจำลองคอมพิวเตอร์กลุ่มเมฆ"

สถาปัตยกรรม Multitier



          ในสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์สถาปัตยกรรมแบบหลายชั้น (มักเรียกว่า สถาปัตยกรรม n-tier) หรือสถาปัตยกรรมแบบหลายชั้น เป็นสถาปัตยกรรมแบบ ไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ ที่นำเสนอการจัดการแอพพลิเคชั่นและการจัดการข้อมูลแยกออกจากกัน การใช้สถาปัตยกรรม multitier ที่แพร่หลายมากที่สุดคือ สถาปัตยกรรมสามชั้น
          สถาปัตยกรรมแอพพลิเคชั่น N-tier มีรูปแบบที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถสร้างแอพพลิเคชั่นที่ยืดหยุ่นและสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะเลือกตัวเลือกในการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเลเยอร์เฉพาะ แทนที่จะใช้โปรแกรมใหม่ทั้งหมด สถาปัตยกรรมสามชั้นประกอบด้วยชุดชั้น นำเสนอ ชั้นของตรรกะโดเมน และชั้นจัดเก็บข้อมูล
          ในขณะที่ความคิดของชั้นและชั้นมักใช้สลับกันได้ มุมมองที่เป็นธรรมอย่างหนึ่งก็คือมีข้อแตกต่างกัน มุมมองนี้ถือได้ว่า เลเยอร์ เป็นกลไกการจัดโครงสร้างเชิงตรรกะสำหรับองค์ประกอบที่ประกอบกันเป็นโซลูชันซอฟต์แวร์ ในขณะที่ ระดับ เป็นโครงสร้างทางกายภาพสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของระบบ ตัวอย่างเช่น โซลูชันสามชั้น สามารถใช้งานได้ง่ายในระดับเดียวกัน เช่น เวิร์คสเตชั่นส่วนบุคคล

เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการประเมินผลขั้นสูง

  • การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่ได้อธิบายไว้ เป็นผลมาจากการพัฒนาคอมพิวเตอร์ การประมวลผล ชิปหน่วยความจำ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล โทรคมนาคม ฮาร์ดแวร์ระบบเครือข่าย ซอฟต์แวร์ และการออกแบบซอฟต์แวร์ ที่มีจำนวนเชิงซ้อนเพิิ่มพลังการประมวลผล ในขณะที่ลดจำนวนเชิงซ้อน ค่าใช้จ่าย ดูที่การพัฒนาที่สำคัญที่สุด

เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกฏหมายของมัวร์และกำลงัประมวลผลของไมโครโพรเซสเซอร์

          ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกได้รับการแนะนำในปีพ. ศ. 2502 จำนวนชิ้นส่วนบนชิปที่มีต้นทุนการผลิตที่เล็กที่สุดต่อหนึ่งคอมโพเนนต์ (โดยทั่วไปคือทรานซิสเตอร์) ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในแต่ละปี การยืนยันนี้กลายเป็นรากฐานของ กฎหมายของมัวร์   กฎหมายฉบับนี้จะตีความในหลาย ๆ ด้าน กฎของมัวร์มีอย่างน้อยสามรูปแบบซึ่งมัวร์ไม่เคยกล่าวไว้ว่า พลังของไมโครโปรเซสเซอร์จะเพิ่มขึ้นทุกๆ 18 เดือน พลังการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 18 เดือน และ ราคาของคอมพิวเตอร์ลดลงครึ่งหนึ่งทุก 18 เดือน





เทคโนโลยีนาโน ใช้อะตอมและโมเลกุลเดี่ยวเพื่อสร้างชิปคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าเทคโนโลยีที่เป็นปัจจุบันนับพันครั้ง


กฎหมายของพื้นที่เก็บข้อมูลดิจิตอลขนาดใหญ่

          ไดรเวอร์เทคโนโลยีขั้นที่สองของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีคือกฎของที่เก็บข้อมูลดิจิทัลแบบดิจิทัล โลกสามารถผลิตข้อมูลที่ไม่ซ้ำกันได้มากถึง 5 แห่งต่อปี จำนวนข้อมูลดิจิทัลมีการเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ ปี โชคดีที่ค่าจัดเก็บข้อมูลดิจิตัลลดลงในอัตราร้อยละ 100 ต่อปี


กฎหมาย Metcalfe cละเศรษฐศาสตร์เครือข่าย

          Robert Metcalfe - ผู้คิดค้นเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่นของ Ethernet - อ้างว่าปีพ. ศ. 2513 ว่าค่าหรือพลังของเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากตามจำนวนสมาชิกเครือข่าย ความต้องการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับแรงหนุนจากมูลค่าทางสังคมและธุรกิจของเครือข่ายดิจิทัลซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นจริงและอาจเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว


ต้นทุนการสื่อสารลดลงและอินเทอร์เน็ต

          ไดรเวอร์เทคโนโลยีที่สี่ซึ่งเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีคือการลดลงของค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของขนาดของอินเทอร์เน็ต เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารลดลงเป็นจำนวนน้อยและวิธีที่ 0 การใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารและการคำนวณจะระเบิดขึ้น


แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์






          

          แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์คือชุดของฮาร์ดแวร์ที่เข้ากันได้ซึ่งสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้ แต่ละแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์เฉพาะมีภาษาของตัวเองและต้องสร้างโปรแกรมเฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับตัวประมวลผลมาตรฐานและชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้อง
          ในความเป็นจริงคำว่า "แพลตฟอร์ม" มีประโยชน์อย่างมากในด้านไอทีเพื่ออ้างถึงโครงสร้างเฉพาะที่โปรแกรมซอฟต์แวร์จะทำงาน เครื่องมือต่างๆเช่นอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอ็พพลิเคชัน (APIs) ใช้เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ให้เข้ากันได้กับแพลตฟอร์มหนึ่ง ๆ

แพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการ

          ในระดับลูกค้า 90 เปอร์เซ็นต์ของพีซีใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows บางรูปแบบเพื่อจัดการทรัพยากรและกิจกรรมของคอมพิวเตอร์ Chrome OS ของ Google มีระบบปฏิบัติการที่มีน้ำหนักเบาสำหรับ Cloud Computing โดยใช้เน็ตบุ๊ก Android เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่พัฒนาโดย Android, Inc. และต่อมา Open Handset Alliance เป็นแพลตฟอร์มอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบยืดหยุ่นที่สามารถอัพเกรดได้ อินเทอร์เฟซ Multitouch ซึ่งผู้ใช้ใช้นิ้วมือเพื่อจัดการวัตถุบนหน้าจอ
แอพพลิเคชันซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร
          ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์แอ็พพลิเคชันระดับองค์กรที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ SAP และ Oracle (ซึ่งได้รับ PeopleSoft)   ไมโครซอฟท์กำลังพยายามก้าวเข้าสู่ปลายด้านล่างของตลาดนี้โดยมุ่งเน้นที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ยังไม่ได้ใช้งานแอพพลิเคชันระดับองค์กร
การจัดการข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูล
          ซอฟต์แวร์การจัดการฐานข้อมูล Enterprise มีหน้าที่ในการจัดการและจัดการข้อมูลของ บริษัท เพื่อให้สามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลชั้นนำ ได้แก่ IBM (IBM), Oracle, Microsoft (SQL server) และ Sybase (Adaptive Server Enterprise) ซึ่งเป็นผู้จัดหาตลาดซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลในสหรัฐฯกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เครือข่ายพื้นที่เก็บข้อมูล (SANS) เชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหลายชนิดบนเครือข่ายความเร็วสูงแยกต่างหากที่จัดเก็บข้อมูล

แนวโน้มแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ร่วมสมัย

          พลังในการระเบิดของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีระบบเครือข่ายได้เปลี่ยนแปลงวิธีการที่องค์กรต่างๆจัดระเบียบพลังการประมวลผลของตนโดยใช้พลังงานมากขึ้นในเครือข่ายและอุปกรณ์มือถือมือถือ


แพลตฟอร์มดิจิตอลสำหรับมือถือที่กำลังเติบโต

          โทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนเช่น BlackBerry และ iPhone ได้ทำหน้าที่หลายอย่างของคอมพิวเตอร์พกพา ได้แก่ การส่งข้อมูลการท่องเว็บการส่งอีเมลและข้อความโต้ตอบแบบทันทีการแสดงเนื้อหาดิจิทัลและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบภายในของ บริษัท แพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือใหม่นี้ยังรวมถึง subnotebooks ที่มีน้ำหนักเบาขนาดเล็กที่เรียกว่าเน็ตบุ๊คที่เหมาะสำหรับการสื่อสารไร้สายและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยมีหน้าที่หลักในการประมวลผลเช่นการประมวลผลคำ คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเช่น iPad; และผู้อ่าน e-book ดิจิทัลเช่น Amazon's Kindle ที่มีความสามารถในการเข้าถึงเว็บได้
การคำนวณตาราง
          การคำนวณแบบตารางเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระยะไกลทางภูมิศาสตร์เข้ากับเครือข่ายเดียวเพื่อสร้างซูเปอร์เสมือนโดยการรวมกำลังการคำนวณของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในตาราง   การคำนวณแบบกริดต้องการโปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อควบคุมและจัดสรรทรัพยากรในตาราง
Virtualization
          การจำลองเสมือนเป็นกระบวนการที่นำเสนอชุดของทรัพยากรคอมพิวเตอร์ (เช่นกำลังประมวลผลหรือการจัดเก็บข้อมูล) เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดด้วยวิธีการที่ไม่ จำกัด โดยการกำหนดค่าทางกายภาพหรือตำแหน่งทางภูมิศาสตร์
ผลประโยชน์ทางธุรกิจของ Virtualization
          ด้วยการให้ความสามารถในการโฮสต์ระบบหลายเครื่องบนเครื่องกายภาพเครื่องเสมือนจะช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มอัตราการใช้อุปกรณ์การประหยัดพื้นที่ศูนย์ข้อมูลและการใช้พลังงาน เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ใช้งานได้เพียง 15-20 เปอร์เซ็นต์ของความจุและ virtualization สามารถเพิ่มอัตราการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ถึง 70 เปอร์เซ็นต์หรือสูงกว่า อัตราการใช้ประโยชน์ที่สูงขึ้นแปลเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์น้อยกว่าที่จำเป็นในการประมวลผลงานที่เท่ากัน

Cloud Computing




          คอมพิวเตอร์ในระบบคลาวน์ คือกลุ่มที่ใช้ร่วมกันของทรัพยากรระบบคอมพิวเตอร์ ที่กำหนดค่าได้และบริการระดับสูงที่สามารถจัดหาได้อย่างรวดเร็ว โดยมีความพยายามในการจัดการน้อยที่สุด ซึ่งมักจะผ่านทาง อินเทอร์เน็ต ระบบคลาวน์คอมพิวเตอร์ อาศัยการแบ่งปันแหล่งข้อมูลเพื่อให้เกิดความร่วมมือและประหยัดสเกล ซึ่งคล้ายคลึงกับ สาธารณูปโภค
          เมฆของบุคคลที่สามช่วยให้องค์กรต่างๆสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของตน แทนที่จะใช้ทรัพยากรบนโครงสร้างพื้นฐานและการบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์สนับสนุน ทราบว่า คอมพิวเตอร์เมฆช่วยให้บริษัทเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดค่าใช้จ่าย ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีล่วงหน้า ผู้เสนอยังอ้างว่าระบบคลาวน์คอมพิวติ้งช่วยให้องค์กรต่างๆสามารถใช้แอพพลิเคชันของตนทำงานได้เร็วขึ้น พร้อมกับการจัดการที่ดีขึ้น และการบำรุงรักษาน้อยลง และช่วยให้ทีมไอทีสามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการที่ผันผวนและไม่อาจคาดเดาได้ ผู้ให้บริการระบบคลาวน์มักใช้รูปแบบ "จ่ายเมื่อคุณไป" ซึ่งอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่คาดคิด หากผู้ดูแลระบบไม่คุ้นเคยกับแบบจำลองการกำหนดราคาแบบ Cloud


ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งมีลักษณะสำคัญดังนี้

  • การบริการด้วยตนเองแบบ On-demand แต่ละรายสามารถรับความสามารถในการคำนวณ เช่น เวลาเซิร์ฟเวอร์หรือที่เก็บข้อมูลเครือข่ายด้วยตัวเอง
  • การเข้าถึงเครือข่ายที่แพร่หลาย บุคคลทั่วไปสามารถใช้เครือข่ายมาตรฐานและอุปกรณ์อินเทอร์เน็ต รวมถึงแพลตฟอร์มโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าถึงทรัพยากรระบบคลาวน์
  • ที่ตั้งทรัพยากรอิสระแบบ pooling ทรัพยากรการคำนวณถูกรวบรวมเพื่อให้บริการผู้ใช้หลายคน โดยมีทรัพยากรเสมือนที่แตกต่างกันที่กำหนดแบบไดนามิค ตามความต้องการของผู้ใช้ ผู้ใช้โดยทั่วไปไม่ทราบว่ามีแหล่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อยู่ที่ใด
  • ความยืดหยุ่นอย่างรวดเร็ว ทรัพยากรคอมพิวเตอร์สามารถจัดเตรียมเพิ่มหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป
  • บริการที่วัดได้ ค่าใช้จ่ายสำหรับทรัพยากรระบบคลาวน์ขึ้นอยู่กับปริมาณของทรัพยากรที่ใช้จริง

คอมพิวเตอร์สีเขียว

คอมพิวเตอร์สีเขียวหรือ Green IT หมายถึงการปฏิบัติและเทคโนโลยีสำหรับการออกแบบการผลิตการใช้และการกำจัดคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเช่นจอภาพเครื่องพิมพ์อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลระบบเครือข่ายและการสื่อสารเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


คอมพิวเตอร์อัตโนมัติ

การประมวลผลด้วยระบบอัตโนมัติเป็นความพยายามของอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาระบบที่สามารถกำหนดค่าตัวเองเพิ่มประสิทธิภาพและปรับแต่งตัวเองรักษาตัวเองเมื่อขาดและป้องกันตนเองจากผู้บุกรุกภายนอกและการทำลายตนเอง

 


         




แหล่งอ้างอิง
https://www.linkedin.com/pulse/evolution-infrastructure-paul-m-veillard
https://en.wikipedia.org/wiki/Multitier_architecture
https://en.wikipedia.org/wiki/Cloud_computing
https://www.techopedia.com/definition/7529/hardware-platform

บทที่8

Decision Support System ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อม...