วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทที่8

Decision Support System
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ


  • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างตัวแบบการตัดสินใจที่ซับซ้อน เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาที่มีลักษณะกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างได้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานขององค์กร
  • การทำงานของ DSS เป็นเป็นการประสานการทำงานระหว่างบุคลากรกับเทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ โดยเป็นการกระทำโต้ตอบกัน
  • ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ ประกอบด้วยชุดเครื่องมือ ข้อมูล ตัวแบบ และทรัพยากรอื่นๆ
  • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เริ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1970 เพื่อที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ

ความสามารถของ DSS

  1. สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร
  2. สนับสนุนการสร้างฐานความรู้
  3. สนับสนุนการใช้งานของผู้บริหารแบบต่อประสานกับผู้ใช้

ประเภทของตัวแบบ

แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
  1. ตัวแบบกายภาพ (Physical Models)
  2. ตัวแบบกราฟิก (Graphical Models)
  3. ตัวแบบพรรณา (Descriptive or Narrative Models)
  4. ตัวแบบคณิตศาสตร์ (Mathematical Models)

ส่วนประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
  1. ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management System)
  2. ระบบการจัดการตัวแบบ (Model Management System)
  3. ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System)
  4. ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User Management System)

ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management System)

  • ระบบการจัดการข้อมูล เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์การที่มีความสัมพันธ์กับองค์การไว้ในฐานข้อมูล
  • ฐานข้อมูล Database เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน จากแหล่งข้อมูลภายในองค์การ ภายนอกองค์การ และข้อมูลความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  • ระบบจัดการฐานข้อมูล 
  • พจนานุกรมข้อมูล
  • สิ่งอำนวยความสะดวกในการสอบถามข้อมูล

ระบบการจัดการตัวแบบ (Model management system)

  • ระบบการจัดการตัวแบบ เป็นชุดของซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่รวมตัวแบบต่างๆ ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และมีซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่จัดการแบบจำลองในงานต่างๆ เรียกว่าระบบจัดการฐานตัวแบบ
  • ฐานตัวแบบ เป็นแหล่งที่เก็บตัวแบบต่างๆ 
  • ระบบจัดการฐานตัวแบบ มีหน้าีท่ในการสร้างแบบจำลองเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาการทำงาน
  • พจจนานุกรมตัวแบบ เป็นรายละเอียดตัวแบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมดในฐานตัวแบบ
  • การประมวลผลตัวแบบ

ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System)

  • ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System) เป็นระบบย่อยที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนระบบย่อยอื่นๆ ให้ทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ
  • ความรู้ประกอบด้วย ความจริง หลักเกณฑ์ ทฤษฎี ความชำนาญ ความสามารถเฉพาะตัว ดุลพินิจ สามัญสำนึก วิจารณญาณ และการใช้ความรู้สึกส่วนตัว

ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User Management System)

  • ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ เป็นการจัดการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
  • ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ เป็นฮาร์ดแวรืและซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารและโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์
  • การสร้างส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่มีประสิทธิผล ต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ เช่น การเลือกอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผล การออกแบบหน้าจอ ลำดับของการโต้ตอบระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร การใช้สีและเงา เป็นต้น

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

หมายถึง ความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเป็นหลัก แต้ยังรวมถึงศาสตร์ในด้านอื่นๆ อย่างจิตวิทยา ปรัชญา ชีววิทยา และการจัดการ มาผสมผสานเข้ากับศาสตร์ทางด้านคอมพิวเตอร์
AI แบ่งได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
  • ระบบที่คิดเหมือนมนุษย์
  • ระบบที่กระทำเหมือนมนุษย์
  • ระบบที่คิดอย่างมีเหตุผล
  • ระบบที่กระทำอย่างมีเหตุผล

ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน (Group Decision Support System : GDSS)

ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน หรือ GDSS ประกอบด้วยส่วนประกอบที่เหมือนกับระบบสนับสนุนการตัดสินใจทั่วไป ต่างกันที่มีการเพิ่มซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการในระดับกลุ่มงาน เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน ให้มีประสิทธิผลมากขึ้น คือจะอนุญาติให้ผู้ใช้หลายๆคน เข้าใช้งานแฟ้มข้อมูล ฐานข้อมูล และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในขณะเดียวกันได้ และอนุญาติให้สมาชิกกลุ่มสามารถทำงานเดียวกันได้ และอยู่ในที่ต่างๆได้



ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงานสามารถสนับสนุนวิธีการตัดสินใจแบบต่างๆ ได้แก่

  1. วิธีเดลฟี (Delphi Approach)
  2. การระดมสมอง (Brainstorming)
  3. วิธีการลงมติเอกฉันท์ของกลุ่ม (Group Consensus Approach)
  4. วิธีความเชื่อของกลุ่ม (Nominal Group Technique)

ระบบสนับสนุนสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System : EIS)

เป็นระบบสารสนเทศที่ผู้บริหารระดับสูงนำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการบริหาร การตัดสินใจ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงคื และเป้าหมาย ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์ นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยประโยชน์ในด้านการติดต่อสื่อสาร และมีสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้บริหารในองคืการ และมีการตัดสินใจเป็นทีม และไปในแนวทางเดียวกันทั้งระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน ระหว่างบุคลากรในองค์การ หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์การ

คุณลักษณะของ EIS

  1. สนับสนุนการตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งภายในและภายนอก
  2. ให้สารสนเทศที่ถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์
  3. ผู้บริหารระสูงสามารถติดตามหรือประเมินผลการดำเนินงานการใช้ทรัพยากร
  4. สามารถคาดคะเนปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
  5. ผู้บริหารระดับสูงสามารถมองเห็นภาพความเป็นไปในธุรกิจได้อย่างชัดเจน
  6. เกิดความสะดวกและประหยัดเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสาร
  7. ให้ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเดียวกัน
  8. ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงเล็งเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากคู่แข่งขัน
  9. เพิ่มศักยภาพในการบริหารงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน












แหล่งอ้างอิง
https://acc5606103108.wordpress.com
https://th.wikipedia.org/wiki/ปัญญาประดิษฐ์
https://acc5606103108.wordpress.com/

บทที่7

Enterprise Applications

ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์



ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (Enterprise Applications)

แบ่งออกเป็น
  1. ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce : E-Commerce, EC)
  2. ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ (Enterprise Resource Planning System : ERP)
  3. ระบบการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management System : CRM)
  4. ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System : SCM)

ระบบวางแผนทรัพยากรขององค์กร หรือ อีอาร์พี

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning หมายถึงการวางแผนควบคุมการปฏิบัติงานและจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในองค์การโดยรวม สามารถบูรณาการข้อมูล และกระบวนการทำงานหลักภายในองค์กรทั้งหมด
โครงสร้างของ ERP แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
  1. Material Resource Planning : MRP หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการจัดทำแผนความต้องการวัสดุ โดยมีองค์ประกอบของข้อมูลนำเข้าที่สำคัญ 3 รายการ คือ ตารางการผลิตหลัก แฟ้มข้อมูลบัญชีรายการวัสดุ และแฟ้มข้อมูลสถานะคงคลัง
  2. Finance Resource Management : FRM หมายถึง ระบบสารสนเทศที่เน้นให้บริการเกี่ยวกับการเงินและบัญชี โดยอิงตามกฎระเบียบและข้อบังคับตามที่ประเทศนั้นกำหนด
  3. Human Resource Management : HRM หมายถึงระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานทางบุคคล
  4. Customer Resource Management : CRM หมายถึงระบบสารสนเทศเพื่อบริหารความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและลูกค้า
  5. Supply Chain Management : SCM หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการกระบวนการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูลและธุรกรรมต่างๆ

ลักษณะสำคัญของระบบ ERP

  1. การบูรณาการระบบงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่การจัดซื้อ จัดจ้าง การผลิต การขาย บัญชี การเงิน และการบริหารบุคคล ซึ่งแต่ละส่วนงานจะมีความเชื่อมโยงในด้านการไหลของวัตถุดิบสินค้าและการไหลของข้อมูล
  2. รวมระบบงานต่างๆ แบบ Real Time ทำให้ข้อมูลเกิดขึ้นในเวลาจริงอย่างทันที ช่วยให้สามารถทำการปิดบัญชีได้ทุกวัน เป็นรายวัน คำนวณ ต้นทุนและกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นรายวัน
  3. ระบบ ERP มีฐานข้อมูลรวม โดยฐานข้อมูลรวมนี้สามารถถูกเรียกใช้ได้จากระบบอื่นได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องทำ Batch Processing หรือ File Transfer และทำให้ข้อมูลนั้นมีอยู่ที่เดียวได้ ทำให้ข้อมูลของระบบไม่ซ้ำซ้อน ไม่มีความผิดพลาดและขัดแย้งของข้อมูล และเกิดประสิทธิภาพ

คุณสมบัติของ ERP ที่ดี

  1. มีความยืดหยุ่น (Flexible)
  2. โมดูลเป็นอิสระจากกัน (Modular)
  3. ความครอบคลุม (Comprehensive)
  4. การเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่นนอกเหนือจากองค์กร (Beyond the Company)
  5. มีกระบวนการทำงานที่ดี (Belong to the Best Business Practices)

ประโยชน์ของ ERP


  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและการปฏิบัติงานให้กับกระบวนการทำงานของธุรกิจ
  2. สร้างระบบงานและกระบวนการทำงานให้ถูกต้อง
  3. ลดความซ้ำซ้อนของการเก็บข้อมูล
  4. มีศูนย์รวมระบบข้อมูลสารสนเทศที่ช่วยการตัดสินใจ
  5. เป็นกระบวนการทำงานที่ดีที่สุดมาใช้ในองค์กร
  6. มัความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน หรือขยายระบบงาน
  7. มีระบบการควบคุมภายใน และการรักษาความปลอดภัยที่ดี
  8. ทำให้เกิดรายงานและการวิเคราะห์ที่สามารถใช้สำหรับการวางแผน
  9. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานระยะยาว

ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ ซีอาร์เอ็ม

CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management การบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ คือ การจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับลูกค้าในปัจจุบัน และลูกค้าที่คาดว่าจะมีในอนาคต เป็นการประสานกระบวนการขาย การตลาด และการให้บริการทั้งหมด

สาเหตุที่ต้องมี CRM

เนื่องจากการทำธุรกิจในยุคโลกาภิวัตน์ มีการเปลี่ยนแปลงคือ
  • การแข่งขันทางธุรกิจสุงขึ้น รุนแรง และรวดเร็ว
  • อำนาจซื้ออยู่ที่ลูกค้า
  • การหาลูกค้าใหม่มีต้นทุนสูงขึ้น
  • ลูกค้าที่อยู่กับบริษัทนาน เป็นลูกค้าที่มีคุณค่า
  • ลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้น บริษัทต้องตอบสนอง
  • หลัก 80 : 20 ทำให้ต้องจัดการลูกค้าแต่ละกลุ่มต่างกัน
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ช่วยให้เราเลือกลูกค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

ประโยชน์ของ CRM

  1. สร้างความจงรักภักดีของลุกค้าในระยะยาว
  2. เพิ่มยอดขายในระยะยาว
  3. สร้างประวัติ และชื่อเสียงที่ดีของบริษัท
  4. เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ
  5. มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าในระบบอิเล็กทรอนิกส์
  6. เป็นเครื่องมือช่วยเชื่อมต่อเข้ากับระบบงานอื่นๆ

ขั้นตอนของ CRM

การสร้างสายสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับลูกค้าด้วย CRM มีขั้นตอนดังนี้
  1. การค้นหาคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ และคุณค่าที่เหนือกว่าคู่แข่ง
  2. การกำหนดตลาดเป้าหมาย
  3. การนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้า
  4. การประเมิน

การนำเทคโนโลยีสารสนเทศนำมาใช้ใน CRM

  1. ระบบการตลาดอัตโนมัติ (Market Automation)
  2. การขายอัตโนมัติ (Sales automation)
  3. การบริการ (Service)

ความสามารถหลักของ CRM

  1. จัดการเรื่องการติดต่อ
  • ช่วยในด้านการขาย การตลาด การบริการอย่างมืออาชีพ
  • ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้า ที่มีความสัมพันธ์กันที่ผ่านมาเอาไว้
  • ช่วยเก็บข้อมูลของลูกค้าเอาไว้ในฐานข้อมูล
  • สามารถให้ลูกค้าติดต่อกับบริษัทได้โดยผ่านอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเครือข่ายอื่นๆ
     2.  การขาย
  • สนับสนุนกิจกรรมด้านการขาย
  • ลูกค้าสามารถเข้ามาตรวจเช็ค สถานะทางบัญชี ฝากเงินตามยอดขายของตนเอง
      3.  การตลาด
  • ส่งเสริมการขายได้โดยตรงด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น ทำให้การตั้งเป้าหมายทางการตลาดได้รับผลดี
  • ช่วยทำการตลาด เช่น ติดตามการส่งอีเมล์ไปยังลูกค้าได้โดยตรง
      4.  การบริการและการสนับสนุนลูกค้า
  • จัดการด้านการบริการด้วยซอฟต์แวร์ที่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้าได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์
  • สามารถใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้
  • ช่วยสนับสนุนลูกค้า โดยสามารถเพิ่มปรับปรุง มอบหมายงาน และจัดการการร้องขอด้านการบริการที่ลูกค้าร้องขอ

e-CRM

Electronic Customer Relationship Management หรือ e-CRMคือ การบริหารจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้าโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง รูปแบบของ e-CRM เป็นไปได้ทั้งการใช้ E-mail กิจกรรมด้วน E-commerce และอีกหลายวิธีการที่สามารถติดต่อเข้าถึงลูกค้าได้บนพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต

เทคโนโลยีของ e-CRM

การนำ e-CRM มาใช้ให้ประสบความสำเร็จอาจจะแบ่งกลุ่มเทคโนโลยีหลัก ได้ดังนี้
  1. เทคดนโลยีการจัดการฐานข้อมูล
  2. เทคโนโลยีที่สามารถโต้ตอบได้
  3. เทคโนโลยีการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานเดียวกันเป็นจำนวนมากแต่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
  4. เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม

การให้บริการลูกค้าผ่าน e-CRM

งานหลักของ e-CRM คือให้บริการลูกค้าผ่าน Web ตัวอย่างได้แก่
  1. ความสามารถในการค้นหาและเปรียบเทียบ
  2. ให้บริการฟรีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ
  3. ให้สารสนเทศเชิงเทคนิคและอื่นๆ รวมทั้งบริการต่างๆ ด้วย
  4. จัดผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะสมกับความต้องการของลุกค้า
  5. ติดตามสถานะการสั่งของ การจัดส่ง การชำระเงิน เป็นต้น

คุณสมบัติที่ดีของ e-CRM

  • มีความสามารถในการบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
  • ประเมินความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าได้
  • มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในระบบการทำงาน
  • มีการอำนวยความสะดวกให้ลุกค้าในการรับข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และทันต่อเหตุการณ์

ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System : SCM)

Supply Chain Management : SCM คือ กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่างๆ ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภค โดยที่องค์การต่างๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องกัน

โครงสร้างโซ่อุปทาน (Supply Chain Model)

  • เป็นการอธิบายการไหลของวัตถุดิบต่างๆ ข้อมูลทางการเงิน และการบริการต่างๆ ตั้งแต่ผู้ขายวัตถุดิบทั้งหลายมาจนถึงโรงงาน และจากดกดังเก็บสินค้าไปจนถึงลูกค้าท้ายสุด
  • ลักษณะโครงสร้างของโซ่อุปทานมีอยู่หลายรูปแบบส่วนมากมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งมีรูปแบบการไหลในลักษณะของอัปสตรีม
  • การระบุว่าจุดไหนคืออัปสตรีมนั้น ให้ใช้ตำแหน่งของบริษัทที่พิจารณาเป็นหลัก
  • การเรียงลำดับส่วนประกอบของโซ่อุปทานจากอัปสตรีมไปยังดาวน์สตรีมอาจจะเรียงได้ดังนี้
  1. ผู้จัดจ่ายวัตถุดิบ/ส่วนประกอบ
  2. ผู้ผลิต
  3. ผู้ค้าส่ง/ผู้กระจายสินค้า
  4. ผู้ค้าปลีก
  5. ผู้บริโภค

แนวคิดการบริหารห่วงโซ่อุปทาน

  1. เปลี่ยนจากการทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเป็นการทำงานร่วมกันเป็นกระบวนการ
  2. เปลี่ยนเป้าหมายที่กำไรเป็นการทำงานที่มีเป้าหมายหลายด้าน
  3. เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เป็นการมุ่งเน้นลูกค้า
  4. รักษาปริมาณสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม
  5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ

ประโยชน์ของ SCM

  • ลดระดับของสินค้าคงคลัง
  • เพิ่มผลิตภาพ
  • ลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
  • ลดรอบเวลาของการทำธุรกรรม
  • การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น
  • การเปิดตลาดใหม่ๆ
  • การสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้ามากขึ้น
  • ลดต้นทุนธุรกิจ
  • มีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดี

โครงสร้างส่วนประกอบของ SCM

  • การสนับสนุน Supply Chain โดยใช้ IT แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ
  1. Upstream supply chain (ห่วงโซ่ต้นทาง)
  2. Internal supply chain (ห่วงโซ่ภายใน)
  3. Downstream supply chain (ห่วงโซ่ปลายทาง)

การประยุกต์ใช้กลยุทธ์การบริหาร SCM

กลยุทธ์ของ SCM สามารถแบ่งประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้
  1. ความยืดหยุ่นในระบบ
  2. องค์กรควรมีการออกแบบระบบให้เหมาะสม
  3. มีการจัดแบ่งลูกค้าและสินค้า
  4. การบริหารการพัฒนาสินค้า การบริหารต้นทุนเป้าหมายของสินค้า การบริหารต้นทุนของสินค้าตลอดช่วงอายุ
  5. การผลิตสินค้า/บริการเฉพาะลูกค้า
  6. การใช้ข้อมูลอย่างเหมาะสม
  7. การลดความสูญเสีย
  8. การสร้างพันธมิตร
  9. การใช้ประโยชน์จากอิเล็กทรอนิกส์
  10. การพัฒนาบุคลากร











แหล่งอ้างอิง
https://www.openerpthailand.org/viewtopic.php?t=442
https://sites.google.com/site/karcadkarsoxupthan/kar-cadkar-so-xupthan/prayochn-laea-naewkhid-khxng-kar-brihar-scm

บทที่ 6

E-commerce
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


E-Business & E-Commerce

          ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business) หมายถึง การดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง โดยมีการประยุกต์ใช้ในทุกกิจกรรมของธุรกิจ ทั้งกิจกรรมส่วนหน้า (Front Office) และกิจกรรมส่วนหลัง (Back Office) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับระบบการค้ากับองค์กรภายนอกด้วย
          พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) หมายถึง การดำเนินซื้อขายสินค้าหรือบริการระหว่างธุรกิจ บุคคล ภาครัฐ และองค์กรสาธารณะ โดยผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องติดต่อซื้อขายกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน เช่น อินเทอร์เน็ต และสามารถทำการแลกเปลี่ยนและติดต่อในเรื่องต่างๆ เช่น การชำระเงิน การจัดส่ง ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์

โครงสร้างของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

โครงสร้างของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
  1. กิจกรรมส่วนหน้า (Front Office)
  2. กิจกรรมส่วนหลัง (Intra-back Office)
  3. กิจกรรมกับองค์กรภายนอก (Extra-back Office)

ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

กรอบการทำงานของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

กรอบการทำงานของ e-commerce ตามรูปแบบจำลอง แบ่งองค์ประกอบออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
  1. การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application) หมายถึง ลักษณะงานที่จะนำ e-commerce มาประยุกต์ใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับธุรกิจ
  2. โครงสร้างพื้นฐาน (E-commerce Infrastructure) หมายถึง องค์ประกอบหลักสำคัญด้านเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะทำให้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทำงานได้ต่อไป
  3. การสนับสนุน (E-commerce Supporting) เป็นส่วนที่คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการประยุกต์ใช้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การจัดการ (E-commerce Management) หมายถึง การวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบของแบบจำลองทางธุรกิจ เพื่อกำหนดรูปแบบของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้เหนือคู่แข่งขัน

รูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

การแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ (product) กระบวนการ (process) และตัวแทนการส่งมอบสินค้า (agent) อาจแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
  1. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ
  2. พาณิชย์อิเล้กทรอนิกส์แบบบางส่วน

โมเดลทางธุรกิจ EC

แบ่งเป็น 3 แบบ ดังนี้
  1. บริคแอนด์มอร์ต้า (Brick and Mortar) หมายถึง ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูนประกอบการค้าขายแบบ "Off-line" คือไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ต
  2. บริคแอนด์คลิ้ก (Brick and Click) หมายถึง ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูน ซึ่งเดิมเป็นธุรกิจแบบบริคแอนด์มอร์ต้า แต่ต่อมาขยายมาทำธุรกิจที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตด้วย จึงทำทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เนื่องจากต้องการผสมผสานความได้เปรียบทางการแข่งขันมาจากธุรกิจทั้งทางด้านความชำนาญ ฐานข้อมูลและสายสัมพันธ์ มาจากธุรกิจเดิมที่ดำเนินงานอยู่ เช่น www.thaigem.com, www.se-ed.com, www.central.co.th
  3. คลิ้กแอนด์คลิ้ก (Click and Click) หรือดอทคอม (Dot.com) หมายถึง ธุรกิจที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ไม่มีอาคารสถานที่สำหรับประกอบธุรกิจ เช่น www.amazon.com, www.sanook.com, www.ToHome.com

ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

  1. กลุ่มธุรกิจที่ค้ากำไร (Profit) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
  • Business-to-Consumer (B2C) เป็นธุรกรรมที่กระทำระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเป็นการค้าขายแบบขายปลีก ที่มีทั้งการสั่งซื้อสินค้าจำนวนไม่มากและมูลค่าการซื้อขายไม่สูงมากนัก เช่น www.tohome.com, www.misslily.com, www.yahoo.com, www.amazon.com
  • Business-to-Business (B2B) เป็นธุรกรรมที่กระทำระหว่างธุรกิจด้วยกันเอง ส่วนใหญ่จะมีการสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมากและมีมูลค่าการซื้อขายแต่ละครั้งจำนวนสูง ได้แก่ การสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิต เป็นต้น เช่น www.FoodMarketExchange.com, Cisco.com, Intel.com
  • Consumer-to-Business (C2B) เป็นการทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ เช่น www.voxcap.com, www.thaitambon.com
  • Consumer-to-Consumer (C2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคลที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อ/ลูกค้า หรือผู้ใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ใช่รูปแบบของร้านค้า เช่น www.ThaiSeconHand.com, www.Ebay.com
      2. กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non-Profit) แบ่งเป็น
  • Business-to-Government (B2G) เป็นธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับภาครัฐ
  • Government-to-Citizent (G2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างภาครัฐกับประชาชนโดยไม่ค้ากำไร
  • Business-to-Employees (B2E) เป็นการทำธุรกรรมภายในองค์กรระหว่างองคืกรกับพนักงาน
  • Exchange-to-exchange (E2E) เป็นการทำธุรกรรมโดยอาศัย E-Commerce เป็นช่องทางสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกัน
  • Intrabusiness EC เป็นการทำธุรกรรมที่อาศัยระบบเครือข่ายอินทราเน็ต สำหรับสื่อกลางในการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และสารสนเทศ
  • Collaborative Commerce (C-Commerce) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างผู้ร่วมค้าทางธุรกิจ ที่ต้องปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายในห่วงโซ่อุปทาน

ประเภทของสินค้าและบริการ

แบ่งประเภทของสินค้าและบริการพาณิชย์อิเล้กทรอนิกส์ ตามความหมายขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO)
  1. สินค้าที่จับต้องได้ (Tangible Goods)
  2. สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Goods) หรือสินค้าดิจิทัล (Digital goods)
  3. กลุ่มสินค้าบริการ (Services)
  4. Mobile Commerce (M-Commerce)
  5. Social Commerce (S-Commerce)
  6. Nonbusiness E-Commerce

ประเภทของเว็บไวต์ EC

  1. เว็บไซต์แค็ตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web Site) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น www.Tarad.com
  2. ร้านค้าออนไลน์ (E-shop Web Site) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ที่มีความสมบูรณ์แบบดดยมีทั้งระบบการจัดการสินค้า ระบบตระกร้าสินค้า ระบบการชำระเงิน ระบบการขนส่ง ผู้ซื้อสามารถทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้ทันที เช่น www.Thaigem.com
  3. การประมูลสินค้า (Auction) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการนำเสนอการประมูลสินค้า โดยเป้นการแข่งขันเสนอราคาระหว่างผู้ต้องการประมูล และขายให้กับผู้ให้ราคาสูงสุด เช่น www.Ebay.com
  4. การประกาศซื้อขาย (E-classified) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจประกาศความต้องการขายสินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ เช่น www.Panthipmarket.com
  5. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-marketplace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าต่างๆ และจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ เช่น www.Talad.com, www.Thaitambon.com

ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์

ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Marketing : E-marketing หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นกิจกรรมที่เป็นการสื่อสาร 2 ทาง และเป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถติดต่อกับผู้บริโภคได้ทั่วโลกและตลอดเวลา

หลักการตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

หลักการตลาดของธุรกิจทั่วไปจะมีการนำหลัก 4p มาใช้คือ
  • Product
  • Price
  • Place
  • Promotion
แต่หลักการตลาดของธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต จะมีหลักการเพิ่มขึ้นมาตามสถานการณ์ของการประยุกต์ใช้ คือ
  • Personalization การให้บริการส่วนบุคคล
  • Privacy การรักษาความเป็นส่วนตัว

ขั้นตอนการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

  1. การหาข้อมูล/การโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Searching and Advertising)
  2. การทำธุรกรรม (Transaction)
  3. การทำคำสั่งซื้อ (Ordering)
  4. การชำระเงิน (Payment)
  5. การจัดส่ง (Delivery)

ลักษณะการใช้งานระบบตะกร้าสินค้า


ระบบตะกร้าสินค้าหรือรถเข็น








แหล่งอ้างอิง
https://www.slideshare.net/kanusorn/shopping-cart
https://www.mindphp.com/
https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-1/e_commerce/10.html





บทที่8

Decision Support System ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อม...